ประเด็นนี้พูดยาวนะ คือถ้าคนในสังคมเปลี่ยนทัศนะคติเกี่ยวกับความตาย
จากการปฏิเสธหรือการไม่ยอมพูดถึงความตาย... ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยเอาแต่เสพสุข
เอาเงิน เอาความสำเร็จเป็นเป้าหมาย โดยหลงลืมความตาย อยู่แบบลืมความตาย
เอาแต่เสพสุข หรือบางคนนึก แต่คิดว่าไหน ๆ ก็จะตายขอเสพสุขให้เต็มที่
โดยไม่ได้คิดว่าความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต ความจริงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน
แต่ถ้าคนเรานึกถึงความตาย เขาจะไม่มุ่งหาเงินทองอย่างเดียว
แต่จะมุ่งสร้างความดี ทำชีวิตให้มีคุณค่า มีความอ่อนโยนต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง
ไม่ว่าญาติมิตร ครอบครัว ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มีหลายคนที่บอกว่า
ชีวิตนี้ตั้งใจทำงานหาเงินให้เต็มที่ เมื่อมีเงินจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว
พิธีกรรายการหนึ่งก็เคยพูดอย่างนี้ เสร็จแล้วเมื่อเขาทำงานมา 10
กว่าปี ก็พบว่าเขาเป็นมะเร็ง จากที่ตั้งใจว่าจะทำงาน 20 ปี แล้วกลับมาอยู่กับครอบครัว
แล้วก็ทำไม่ได้ เพราะเขาทำงานหนักจนร่างกายรับไม่ไหว ตอนนั้นเขาก็มานึกเสียดายว่าชีวิตที่ผ่าน
เขาไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวเลย เพราะคิดแต่ว่าครอบครัวไว้ทีหลัง
ทำงานก่อน
ความตายจะมาเมื่อไรก็ไม่รู้
เราไม่สามารถกำหนดล่วงหน้าได้ มันจะมาเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าเราระลึกได้ว่า
มันจะต้องเกิดขึ้นกับเราเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าระลึกถึงตรงนี้เขาจะใช้เวลาที่มีอย่างมีความหมายมากที่สุด
อีกทั้งการใช้เวลาเพื่อการหาเงินเป็นความผิดพลาด
เพราะฉะนั้นถ้าเราระลึกว่าเราต้องการตายดีก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำความดี
ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมและตัวเอง
และเมื่อเราไม่แน่ใจว่าจะตายเมื่อไหร่
เวลาแต่ละนาทีเราจะใช้ไปอย่างมีประโยชน์มากที่สุด การเที่ยว การสนุกสนานอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด
ครอบครัว การทำความดี การฝึกจิตฝึกใจจะกลายเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมา
ส่วนใหญ่บอกว่าครอบครัวเอาไว้ก่อน
ปฏิบัติธรรมเอาไว้ก่อน ไว้ให้แก่จึงมีเวลา แต่ถึงเวลาหลายคนไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
เพราะลืมไปว่าความตายมาเมื่อไรก็ได้
ความตายไม่แน่นอนสำหรับเรา และไม่แน่นอนสำหรับคนอื่นอื่น
เขาจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าชีวิตของคนที่เรารัก
ของคนที่เราเคารพก็ไม่แน่ไม่นอนเหมือนกัน การพบกันครั้งนี้อาจเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายก็ได้
อาจไม่ได้พบกันอีก ถ้าเราระลึกได้เช่นนี้ เราก็จะปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน
การที่ด่ากัน ทะเลาะกัน แล้วคิดว่าไว้วันหลังค่อยคืนดีกัน มันอาจสายไปแล้วก็ได้
เขาอาจไปก่อนจะได้คืนดีกัน แต่ถ้าเราตระหนักว่าเขาจะไปเมื่อไรก็ไม่รู้
เราก็จะเร่งที่จะคืนดี หรือไม่อยากทะเลาะกันเลยก็เป็นได้ เพราะรู้ว่าไม่นานเราก็จะตายจากกัน
เราจะอ่อนโยนในการสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น
ในอีกแง่หนึ่ง ชีวิตเราจะปล่อยวางได้มากขึ้น
เวลาของหาย งานการไม่ประสบความสำเร็จ คนส่วนใหญ่กลุ้มใจ แต่พอเราระลึกถึงความตายจะรู้ว่า
ได้เรื่องปัญหาเหล่านี้จิ๊บจ๊อยมากก็จะปล่อยวางมันได้
ถ้าเรามีความเข้าใจดีว่าความตายจะเกิดขึ้นกับเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ไม่รู้
เราจะระมัดระวังในการดำเนินชีวิตมากขึ้น และขณะเดียวกัน เมื่อเราตระหนักว่าความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเสมอไป
ความตายอาจเป็นโอกาสแห่งการยกระดับจิตใจเราจะไม่กลัวความตาย กล้าเผชิญความตายมากขึ้น
ผ่านพ้นความตายไปได้ด้วยใจสงบ
ทุกวันนี้เราคิดว่าเราเป็นอมตะ
เราก็เลยพยายามสร้างและสะสมอะไรมากมาย เหมือนกับว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้า
สะสมเงินทองราวกับว่าจะได้ใช้ชั่วฟ้าดินสลาย เราจึงไม่เคยพอ
แต่ถ้าเราคิดได้ว่าอายุคนเราอาจราวเพียง
100 ปี ก็จะตระหนักว่าการหาเงินมาเป็นร้อยล้านพันล้านก็เป็นความโง่อย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะหากคิดว่าจะหาเงินเหล่านั้นมาเพื่อเสพสุข เพราะไม่มีทางจะได้ใช้หมด
สุดท้ายก็เป็นของคนอื่นไป
สังคมและอารยธรรมจะเปลี่ยนไปถ้าเราตระหนักถึงความตาย
อารยธรรมของทุกสังคมถูกกำหนดด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับความตาย เช่น
อียิปต์ เขาคิดว่าจะฟื้นขึ้นใหม่ เขาเลยสร้างปิรามิด เอาศพไปฝังไว้
เพราะคิดว่าสักวันหนึ่งจะได้ฟื้นขึ้นมา เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
สร้างศาสนสถานใหญ่โต ด้วยความหวังว่าเราจะฟื้นคืนมาได้
สังคมบริโภคนิยมก็เหมือนกัน
เป็นสังคมซึ่งคิดว่าตัวเองจะไม่ตายหรือว่าอยู่แบบลืมตาย ก็เลยสะสมสิ่งต่าง
ๆ มากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ 